เมนู

3. อรรถกถาเขมาเถรีคาถา


คาถาว่า ทหรา ตุวํ รูปวตี ดังนี้เป็นต้น เป็นคาถาของพระเขมา
เถรี.

พระเถรีรูปนี้ ครั้งพระผู้มีพระภาคเจ้า พระนามว่าปทุมุตตระ อาศัย
คนอื่นเลี้ยงชีพ เป็นทาสีหญิงรับใช้ของคนอื่น ๆ อยู่ในกรุงหังสวดี นางเลี้ยง
ชีวิตอยู่ได้ด้วยการช่วยขวนขวายงานของคนเหล่าอื่น วันหนึ่ง ได้เห็นพระสุชาต-
เถระ อัครสาวกของพระปทุมุตตรสัมมาสัมพุทธเจ้ากำลังเที่ยวบิณฑบาตได้ถวาย
ขนมสามก้อน วันเดียวกันนั้น ก็ได้สละผมของตนถวายเป็นทานแก่พระเถระ
ทำความปรารถนาว่า ข้าพเจ้าพึงเป็นพุทธสาวิกา ผู้มีปัญญามากในอนาคต ไม่
ประมาทในกุศลธรรมตลอดชีวิต เที่ยวเวียนว่ายอยู่ในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
เป็นมเหสีของท้าวเทวราชแห่งทวยเทพฉกามาวจรมีท้าวสักกะเป็นต้นโดยลำดับ
และแม้ในมนุษยโลกก็เป็นมเหสีของพระเจ้าจักรพรรดิและพระเจ้าปฐพีมณฑล
หลายครั้ง เสวยมหาสมบัติแล้ว ครั้งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าวิปัสสี ก็เกิด
ในมนุษยโลก รู้เดียงสาแล้วฟังธรรมในสำนักของพระศาสดา ได้ความสังเวช
ใจบวชประพฤติ [โกมาริ] พรหมจรรย์อยู่ถึงหมื่นปี เป็นพหูสูต เป็นธรรมกถึก
ทำกรรมที่ให้เกิดปัญญาด้วยการกล่าวธรรมเป็นต้น แก่ชนเป็นอันมาก จุติจากภพ
นั้นแล้ว เที่ยวเวียนว่ายอยู่ในสุคติฝ่ายเดียว ในกัปนี้ ครั้งพระผู้มีพระภาคเจ้า
พระนามว่ากกุสันธะ และพระนามว่า โกนาคมนะ ก็บังเกิดในครอบครัวที่
สมบูรณ์ด้วยสมบัติ รู้เดียงสาแล้ว สร้างสังฆารามใหญ่ ได้มอบถวายแก่
ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข.

ส่วนครั้งพระผู้มีพระภาคเจ้า พระนามว่า กัสสปทศพล เป็นพระ-
ราชธิดาองค์ใหญ่พระนามว่า สมณี ของพระเจ้ากาสีพระนามว่า กิกิ
ฟังธรรมในสำนักของพระศาสดาแล้วได้ความสังเวชใจ ดำรงอยู่ในพระราช
มณเฑียรอย่างเดียวประพฤติโกมาริพรหมจรรย์อยู่ถึงสองหมื่นปี ให้สร้างบริเวณ
อันน่ารื่นรมย์พร้อมด้วยพระกนิษฐภคินี ทั้งหลายของพระองค์ มีพระนาง
สมณคุตตาเป็นต้น เสร็จแล้วได้มอบถวายแก่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข
นางได้ทำบุญอันยิ่งใหญ่ติดต่อกันมาในภพนั้น ๆ ด้วยอาการอย่างนี้ เที่ยวเวียน
ว่ายอยู่ในสุคติเท่านั้น ในพุทธุปบาทกาลนี้ ก็บังเกิดในราชสกุล กรุงสาคละ
แคว้นมัททะ มีพระนามว่าพระนางเขมา ทรงมีพรรณะดั่งทอง มีพระฉวี
เสมือนทอง. พระนางเจริญวัยเป็นราชกุมารีแล้ว ก็ไปเป็นพระเทวีของพระ
เจ้าพิมพิสาร. ครั้งเมื่อพระศาสดาประทับอยู่ ณ พระเวฬุวันก็ยังเป็นผู้มัวเมาใน
พระรูปพระโฉม ทรงเกรงว่าพระศาสดาจะทรงแสดงโทษในรูป จึงไม่เสด็จไป
เฝ้าพระศาสดา.
พระราชาโปรดสั่งให้ผู้คนทั้งหลายเที่ยวประกาศพรรณนาพระเวฬุวัน
ทำให้พระเทวีทรงเกิดความคิดที่จะไปชมพระวิหาร เมื่อพระเทวีทรงดำริว่า จำ
เราจักชมพระวิหาร ก็ทรงสอบถามพระราชา. พระราชาตรัสว่า เธอไปพระ-
วิหารไม่พบพระศาสดาก็อย่าได้กลับมา แล้วทรงให้สัญญาแก่พวกราชบุรุษว่า
พวกท่านจงให้พระเทวีเฝ้าพระทศพล โดยพลการให้จงได้ พระเทวี เสด็จไป
วิหาร เวลาล่วงไปครึ่งวัน ไม่ทรงพบพระศาสดาเริ่มเสด็จกลับ ลำดับนั้น
ราชบุรุษทั้งหลาย นำพระเทวีแม้ไม่ทรงปรารถนา เข้าไปเฝ้าพระศาสดาจน
ได้ พระศาสดาทรงเห็นพระเทวีนั้นกำลังเสด็จมา ทรงเนรมิตหญิงคล้ายนาง
เทพอัปสรด้วยฤทธิ์ ทำให้ถือพัดใบตาลถวายงานพัดอยู่ พระนางเขมาเทวี

ทรงเห็นหญิงนั้น ทรงดำริว่า หญิงชื่อเห็นปานนี้ มีส่วนเปรียบด้วยนางเทพ-
อัปสร ยืนอยู่ไม่ห่างพระผู้มีพระภาคเจ้า เราไม่พอที่แม้แต่จะเป็นหญิงรับใช้
ของหญิงเหล่านั้นได้เลย เราต้องเสียหายด้วยอำนาจจิตชั่ว เพราะเหตุเล็ก ๆ
น้อย ๆ ทรงถือเอานิมิตประทับยืนมองดูหญิงนั้นคนเดียว เมื่อพระนางกำลัง
ทอดพระเนตรดูอยู่ หญิงนั้นก็ล่วงปฐมวัย มัชฌิมวัย ถึงปัจฉิมวัยแล้ว ฟัน
หัก ผมหงอก หนังเหี่ยว ล้มกลิ้งลงพร้อมกับพัดใบตาล ด้วยพระกำลัง
อธิษฐานของพระศาสดา จากนั้น เพราะเหตุที่ทรงบำเพ็ญบารมีไว้ พระนาง
เขมาทอดพระเนตรเห็นเหตุนั้นแล้วทรงพระดำริว่า สรีระแม้อย่างนี้ ยังถึง
ความวิบัติเช่นนี้ สรีระของเราก็จักมีคติอย่างนี้เหมือนกัน ลำดับนั้น พระ-
ศาสดาทรงทราบวาระจิตของพระนางแล้ว ก็ตรัสพระคาถาว่า
ชนเหล่าใด กำหนัดอยู่ด้วยราคะ ย่อมตกไปสู่
กระแสตัณหา เหมือนแมลงมุมตกไปยังใยที่ตัวเองทำ
ไว้ฉะนั้น ชนเหล่านั้นตัดกระแสตัณหานั้นเสียได้แล้ว
เป็นผู้หมดอาลัยละกามสุขได้ ย่อมงดเว้นกิจคฤหัสถ์
[บวช] อยู่.

คำที่มาในอรรถกถาว่า จบคาถาพระนางเขมานั้น บรรลุพระอรหัต
พร้อมด้วยปฏิสัมภิทา ส่วนคำที่มาในอปทานว่า ฟังคาถานี้แล้ว ตั้งอยู่ใน
โสดาปัตติผล ทรงขอให้พระราชาทรงอนุญาตแล้ว ทรงผนวชแล้วบรรลุ
พระอรหัต ในข้อนั้น มีบาลีในคัมภีร์อปทาน1 ดังนี้.
ในแสนกัปนับแต่กัปนี้ไป พระชินพุทธเจ้าพระ
นามว่า ปทุมุตตระ ผู้มีพระจักษุเห็นในสรรพธรรม
ทรงเป็นผู้นำ เสด็จอุบัติแล้ว

1. ขุ. 33/ข้อ 158 เขมาเถรีอปทาน.

ครั้งนั้น ข้าพเจ้าเกิดในตระกูลเศรษฐีที่รุ่งเรือง
ด้วยรัตนะต่าง ๆ ในกรุงหังสวดี เป็นผู้เพียบพร้อมไป
ด้วยความสุขเป็นอันมาก ข้าพเจ้าเข้าไปเฝ้าพระพุทธ-
มหาวีระพระองค์นั้น แล้วได้ฟังธรรมเทศนา เกิด
ความเลื่อมใสในพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ได้ถึงพระ-
องค์เป็นสรณะ ข้าพเจ้าขออนุญาตมารดาบิดาได้แล้ว
นิมนต์พระพุทธเจ้าผู้นำพิเศษ ให้เสวยอาหารพร้อม
ด้วยพระสาวกสงฆ์ตลอดสัปดาห์หนึ่ง เมื่อสัปดาห์หนึ่ง
ล่วงไปแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นสารถีฝึกนระ
ทรงสถาปนาภิกษุณีรูปหนึ่งไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะ
เป็นเลิศของภิกษุณีผู้มีปัญญามาก ข้าพเจ้าได้ฟังเรื่อง
นั้นแล้ว มีความยินดีทำสักการะแด่พระพุทธเจ้า ผู้
แสวงหาคุณใหญ่พระองค์นั้นอีก แล้วหมอบลง
ปรารถนาตำแหน่งนั้น ในทันใดนั้น พระชินพุทธเจ้า
พระองค์นั้น ตรัสกะข้าพเจ้าว่า ความปรารถนาของ
ท่านจงสำเร็จ สักการะที่ท่านทำแล้วแก่เราพร้อมด้วย
ภิกษุสงฆ์มีผลนับไม่ได้ ในแสนกัปนับแต่กัปนี้ไป
พระพุทธเจ้าพระนามว่า โคดม ทรงสมภพในวงศ์
พระเจ้าโอกกากราช จักเป็นศาสดาในโลก หญิงผู้นี้
จักได้เป็นภิกษุณีชื่อเขมา ผู้เป็นธรรมทายาทของพระ
ศาสดาพระองค์นั้น เป็นโอรสอันธรรมเนรมิต จักได้
ตำแหน่งเอตทัคคะ.

ด้วยกรรมที่ทำดีแล้วนั้น และด้วยการตั้งใจไว้
ชอบ ข้าพเจ้าละกายมนุษย์แล้วได้เข้าถึงสวรรค์ชั้น
ดาวดึงส์ จุติจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์แล้วไปชั้นยามา
จุติจากชั้นยามาแล้วไปชั้นดุสิต จุติจากชั้นดุสิตแล้วไป
ชั้นนิมมานรดี จุติจากชั้นนิมมานรดีแล้วไปชั้นปรนิม-
มิตวสวัตดี เพราะอำนาจบุญกรรมนั้น ข้าพเจ้าเกิด
ในภพใด ๆ ก็ได้เป็นพระอัครมเหสีของพระราชาใน
ภพนั้น ๆ ข้าพเจ้าจุติจากภพนั้น แล้วมาเกิดเป็นมนุษย์
ได้เป็นพระอัครมเหสีของพระเจ้าจักรพรรดิ และเป็น
มเหสีของพระเจ้าเอกราชเหนือปฐพีมณฑล เสวยทิพย-
สมบัติและมนุษย์สมบัติ มีความสุขทุกภพ ท่องเที่ยว
ไปหลายกัป ในกัปที่ 91 นับแต่กัปนี้ พระพุทธเจ้า
พระนามว่าวิปัสสี เป็นผู้นำโลก ทรงงดงามน่าชม
ทรงเห็นแจ่มแจ้วในสรรพธรรม เสด็จอุบัติแล้ว.
ข้าพเจ้าเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ผู้นำโลก ทรงฝึก
คนที่ควรฝึกพระองค์นั้น ได้ฟังธรรมอันประณีตแล้ว
ออกบวชไม่มีเรือน ประพฤติพรหมจรรย์ในศาสนา
ของพระพุทธวีระพระองค์นั้นอยู่หมื่นปี ประกอบความ
เพียร เป็นพหูสูตฉลาดในปัจจยาการ แกล้วกล้าใน
จตุราริยสัจ มีปัญญาละเอียด แสดงธรรมได้วิจิตร
ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า.

ด้วยผลแห่งพรหมจรรย์ ข้าพเจ้าจุติจากภพนั้น
แล้ว เข้าถึงสวรรค์ชั้น ดุสิต เป็นผู้มียศ เสวยสมบัติ
ในภพนั้นและภพอื่น ข้าพเจ้าเกิดในภพไร ๆ ก็เป็น
ผู้มีสมบัติมาก มีทรัพย์มาก มีปัญญา มีรูปงาม มี
บริวารก็ว่าง่าย ด้วยบุญกรรมและความเพียรในศาสนา
ของพระชินพุทธเจ้านั้น สมบัติทุกอย่างข้าพเจ้าหาได้
ง่าย ใจรัก ด้วยผลแต่งความปฏิบัติของข้าพเจ้า เมื่อ
ข้าพเจ้าเดินไป ณ ที่ใด ๆ ภัสดาของข้าพเจ้าและใคร ๆ
ย่อมไม่ดูหมิ่นข้าพเจ้า ในภัทรกัปนี้ พระพุทธเจ้า
พระนามว่าโกนาคมน์ เป็นพราหมณ์ มีพระยศมาก
เป็นยอดของพระศาสดาผู้สอน เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว ใน
ครั้งนั้นแหละ กุลธิดาที่มั่งคั่งดีในกรุงพาราณสี ชื่อ
ธนัญชานี 1 สุเมธา 1 ข้าพเจ้า 1 รวม 3 คนด้วยกัน
ได้ถวายสังฆารามแก่พระมุนีหลายพัน และได้สร้าง
วิหารอุทิศถวายแก่พระพุทธเจ้า พร้อมด้วยพระสาวก-
สงฆ์ เราทั้งหมดด้วยกันจุติจากภพนั้นแล้ว ไปสวรรค์
ชั้นดาวดึงส์ถึงความเป็นผู้เลิศด้วยยศกว่าเทพธิดาและ
กุลธิดาในมนุษย์ ในภัทรกัปนี้แหละ พระพุทธเจ้า
พระนามว่ากัสสปะ เป็นพราหมณ์ มีพระยศมาก
เป็นยอดของศาสดาผู้สอน เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว ใน
ครั้งนั้น พระเจ้ากาสี จอมนรชนพระนามว่า กิกิ
กรุงพาราณสี ราชธานีแคว้นกาสี ทรงเป็นอุปัฏฐาก

พระพุทธเจ้า ผู้ทรงแสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ ข้าพเจ้า
เป็นพระราชธิดาพระองค์ใหญ่ ของท้าวเธอ
มีนามปรากฏว่าสมณี ได้ฟังธรรมของพระชินพุทธเจ้า
ผู้เลิศแล้ว ชอบกิจบรรพชา แต่พระชนกนาถไม่ทรง
อนุญาตแก่เราทั้งหลาย ครั้งนั้น เราทั้งหลายไม่
เกียจคร้าน ประพฤติโกมาริพรหมจรรย์อยู่ในพระ-
ราชมณเฑียร ดำรงอยู่ในสุขสมบัติสองหมื่นปี เป็น
พระราชธิดาที่บันเทิงใจ ยินดียิ่งนักในการบำรุง
พระพุทธเจ้า พระราชธิดาทั้ง 7 พระองค์นั้น คือ
สมณี 1 สมณคุตตา 1 ภิกขุนี 1 นางภิกขุทาสิกา 1
ธรรมา 1 สุธรรมา 1 แล สังฆทาสิกาเป็นที่ครบ 7.
บัดนี้ คือข้าพเจ้า อุบลวรรณา ปฏาจารา กุณฑล-
เกสา กิสาโคตมี ธรรมทินนา และวิสาขา เป็นที่
ครบ 7 บางครั้ง พระพุทธเจ้า ผู้เป็นดั่งดวงอาทิตย์
ของนรชนพระองค์นั้น ทรงแสดงธรรมคือมหานิทาน
สูตรอันอัศจรรย์ ข้าพเจ้าฟังแล้วก็เรียนพระสูตรนั้น.
ด้วยกรรมที่ได้ทำไว้ดีแล้วนั้น และด้วยการตั้งใจ
ไว้ชอบ ข้าพเจ้าละกายมนุษย์แล้วได้ไปสู่สวรรค์ชั้น
ดาวดึงส์ บัดนี้ ภพสุดท้าย ข้าพเจ้าเป็นราชธิดา
โปรดปราน เอ็นดู สุดสวาทของพระเจ้ามัททราชใน
กรุงสาคลราชธานี พร้อมกับข้าพเจ้าเกิด พระนครนั้น
ได้มีความเกษมสุข.

โดยคุณนิรมิตนั้นชื่อข้าพเจ้าปรากฏว่าเขมา สมัย
ที่ข้าพเจ้าเจริญวัยเติบโตเป็นสาวมีรูปโฉมและผิวพรรณ
งาม พระราชบิดาก็ถวายข้าพเจ้าแก่พระเจ้าพิมพิสาร
ข้าพเจ้าเป็นที่โปรดปรานของพระองค์ ยินดีแต่ในการ
บำรุงรูป ไม่พอใจคนที่กล่าวโทษรูปเป็นอันมาก ครั้ง
นั้น พระเจ้าพิมพิสารโปรดให้นักขับร้องขับเพลง
พรรณนาพระวิหารเวฬุวันกะข้าพเจ้าด้วยพระประสงค์
จะทรงอนุเคราะห์ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าสำคัญว่า พระเวฬุ-
วันวิหาร อันเป็นที่ประทับแห่งพระสุคต เป็นที่รื่นรมย์
ผู้ใดยังมิได้เห็น ก็เท่ากับว่าผู้นั้นยังไม่เห็นนันทวัน
พระวิหารเวฬุวันเป็นดังว่านันทวันอันเป็นที่เพลิดเพลิน
ของนรชน ผู้ใดได้เห็นแล้วเท่ากับว่าผู้นั้นเห็นนันทวัน
อันเป็นที่เพลิดเพลินดีของท้าวอมรินทร์เทวราช ทวย-
เทพละนันทวันนั้นแล้วลงมายังพื้นดิน เห็นพระวิหาร
เวฬุวันอันน่ารื่นรมย์เข้าแล้วก็อัศจรรย์ใจดูไม่อิ่ม พระ-
วิหารเวฬุวัน เกิดขึ้นเพราะบุญของพระราชาอันบุญของ
พระพุทธเจ้าตกแต่งแล้ว ใครเล่าจะกล่าวกองคุณของ
พระเวฬุวันนั้นมิให้เหลือได้.
ครั้งนั้น ข้าพเจ้าได้ฟังความสมบูรณ์แห่งพระ-
วิหารเวฬุวัน เป็นที่ซึ้งโสตและจับใจแล้วอยากจะชม
พระเวฬุวันนั้น จึงกราบทูลพระราชา ครั้งนั้นพระ-
มหิบดีจึงโปรดส่งข้าพเจ้าพร้อมด้วยบริวารเป็นอันมาก

เพื่อชมพระเวฬุวันนั้น ที่น่าขวนขวายชม ด้วยพระ-
ดำรัสว่า ดูก่อนพระนางผู้มีสมบัติมาก เชิญเสด็จไป
ชมพระมหาเวฬุวันให้เป็นขวัญตาซึ่งฉาบด้วยพระรัศมี
แห่งพระสุคตงามด้วยพระสิริทุกสมัย ข้าพเจ้าทูลว่า
เมื่อใดพระพุทธมุนีเสด็จเข้ามาทรงบิณฑบาตในกรุง
ราชคฤห์ราชธานี เมื่อนั้นหม่อมฉันจะเข้าไปชมพระ-
วิหารเวฬุวัน เวลานั้นพระวิหารเวฬุวันนั้น มีดอกไม้
บานสะพรั่งมีภมรนานาชนิดบินเวียนว่อนส่งเสียงร้อง
ประกอบด้วยเพลงขับกล่อมของนกดุเหว่าอีก เหล่านก
ก็ร่ายรำแพนเงียบเสียงไม่พลุกพล่านประดับด้วยที่จง-
กรมต่าง ๆ สร้างด้วยกุฏิและมณฑป อร่ามด้วยพระผู้
พากเพียรที่ประเสริฐ เมื่อข้าพเจ้าเที่ยวไปได้รู้สึกว่า
เป็นกำไรนัยน์ตาของข้าพเจ้าแท้ ๆ แม้ในพระเวฬุวัน
นั้นข้าพเจ้าก็ได้เห็นภิกษุหนุ่มรูปหนึ่งบำเพ็ญเพียรอยู่
แล้วคิดไปว่าภิกษุรูปนี้ ยังอยู่ในวัยหนุ่มแน่นมีรูปร่าง
น่ารัก ปฏิบัติดีอยู่ในพระเวฬุวันที่น่ารื่นรมย์เช่นนี้
เหมือนฤดูใบไม้ผลิ ภิกษุนี้ศีรษะโล้น ห่มผ้าสองชั้น
นั่งอยู่ที่โคนไม้ ละความยินดีที่เกิดแต่อารมณ์ เจริญ
ฌานอยู่ ธรรมดาคฤหัสถ์ควรจะบริโภคกามตามความ
สุข ต่อแก่จึงควรประพฤติธรรมอันเจริญงอกงามนี้ใน
ภายหลัง ข้าพเจ้าสำคัญว่าพระคันธกุฎีที่ประทับแห่ง
พระชินเจ้าดังดวงอาทิตย์อุทัย ประทับนั่งทรงสำราญ

พระองค์เดียว มีสาวสวยถวายงานพัดอยู่ ครั้นแล้วจึง
ดำริอย่างนี้ว่า สมณะปอนรูปนี้มิใช่องค์พระนราสภ
หญิงสาวคนนั้นมีผิวพรรณเปล่งปลั่งดังทอง มีดวงตา
งามดังดอกบัว ริมฝีปากแดงดังผลมะพลับสุก ชำเลือง
แต่น้อยเป็นที่ซาบซึ้งตรึงใจและนัยน์ตา แขนแกว่งดั่ง
ชิงช้าทอง ดวงหน้างาม ถันทั้งคู่เต่งตั่งดังดอกบัวตูม มี
เอวองค์กลมกลึงตะโพกผึ่งผาย ลำขาน่ายินดี มีเครื่อง
แต่งกายสวย เครื่องประดับสีแดงแวววาว นุ่งผ้าเนื้อ
เกลี้ยงสีเขียว มีรูปสมบัติชมไม่รู้อิ่ม ประดับด้วย
สรรพาภรณ์ ข้าพเจ้าเห็นหญิงสาวนั้นแล้วก็คิดอย่างนี้
ว่า โอ หญิงสาวคนนี้รูปงามเหลือเกิน ข้าพเจ้าไม่เคย
เห็นด้วยนัยน์ตานี้ ไม่ว่าในตรงไหน ๆ เลย ทันใด
นั้น หญิงสาวคนนั้น ถูกชราย่ำยี มีผิวพรรณแปลก
ไป หน้าเหี่ยว ฟันหัก ผมหงอก น้ำลายไหล หน้า
ไม่สะอาด ใบหูย่น กระด้าง นัยน์ตาขาว นมยาน
ไม่งาม ตกกระทั่วตัว เรือนร่างสะพรั่งด้วยเส้นเอ็น
ตัวค้อมลงใช้ไม้เท้าเป็นเพื่อน ร่างกายซูบผอมลีบไป
สั่นงั่นงก ล้มลงแล้วหายใจถี่ ๆ ลำดับนั้นความสังเวช
อันไม่เคยเป็นทำให้ขนลุกชูชันได้มีแก่ข้าพเจ้าว่า น่า
ตำหนิรูปอันไม่สะอาดที่พวกคนเขลาพากันยินดี ขณะ
นั้นพระพุทธเจ้าผู้ทรงพระกรุณามากมีพระทัยปีติโสม-
นัส ทรงเห็นข้าพเจ้าผู้มีใจสังเวชแล้วได้ตรัสพระคาถา

นี้ว่า ดูก้อนเขมา จงดูร่างกายอันกระสับกระส่ายไม่
สะอาด เน่าเปื่อย ไหลเข้าไหลออกที่พวกพาลชนยินดี
กันนัก จงอบรมจิตให้เป็นสมาธิมีอารมณ์เดียวด้วย
อสุภารมณ์เถิด จงมีกายคตาสติ มีความเบื่อหน่ายมากๆ
ไว้เถิด รูปหญิงนี้ฉันใด รูปของเธอนั้นก็ฉันนั้น รูป
ของเธอฉันใด รูปหญิงนี้ก็เป็นฉันนั้น เธอจงคลาย
ความพอใจในกายทั้งภายในภายนอกเสียเถิด จงอบรม
อนิมิตตวิโมกข์ จงละมานานุสัยเสีย เธอจักเป็นผู้
สงบ จาริกไปเพราะละมานานุสัยนั้นได้.
ชนเหล่าใดกำหนัดอยู่ด้วยราคะ ย่อมตกไปสู่
กระแสตัณหา เหมือนแมลงมุมตกไปยังใยที่ตัวเองทำ
ไว้ฉะนั้น ชนเหล่านั้นตัดกระแสตัณหานั้นเสียได้แล้ว
เป็นผู้หมดอาลัย ละกามสุขได้ย่อมงดเว้นกิจคฤหัสถ์
[บวช] อยู่ ขณะนั้น พระบรมศาสดาผู้เป็นสารีฝึก
นรชนทรงทราบว่าข้าพเจ้ามีจิตควรแล้ว จึงทรงแสดง
มหานิทานสูตรเพื่อทรงแนะนำข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้ฟัง
สูตรอันประเสริฐนั้นแล้ว ระลึกถึงสัญญาในกาลก่อน
ได้ดำรงอยู่ในสัญญานั้นแล้ว ชำระธรรมจักษุให้หมด
จด ทันใดนั้น ข้าพเจ้าหมอบลงแทบพระบาทยุคลแห่ง
พระพุทธเจ้า ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่เพื่อประสงค์จะ
แสดงโทษ [ขอขมา] จึงได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์
ผู้ทรงเห็นธรรมทั้งปวง ข้าพระองค์ขอถวายมนัสการ

แด่พระองค์ ข้าแต่พระองค์ผู้มีพระกรุณาเป็นที่อยู่ ข้า-
พระองค์ขอถวายนมัสการแด่พระองค์ ข้าแต่พระองค์
ผู้เสด็จข้ามสงสารแล้ว ข้าพระองค์ขอถวายนมัสการ
แด่พระองค์ ข้าแต่พระองค์ผู้ประทานอมตธรรม ข้า-
พระองค์ขอถวายนมัสการแด่พระองค์ ข้าพระองค์แล่น
ไปแล้วสู่ชัฏคือทิฏฐิ ลุ่มหลงเพราะกามราคะ พระองค์
ทรงแนะนำด้วยอุบายที่ชอบ เป็นผู้ยินดีแล้วในอุบายที่
ทรงแนะนำสัตว์ทั้งหลาย คงตั้งอยู่ [อย่างนั้น ] เพราะ
ไม่เห็นพระผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่เช่นพระองค์จึง
เสวยทุกข์เป็นอันมาก ในสาครคือสังสารวัฏเมื่อใด
ข้าพระองค์ยังมิได้มาเฝ้าพระองค์ผู้ทรงเป็นสรณะแห่ง
สัตว์โลก ไม่เป็นศัตรูแก่สัตว์โลก ทรงถึงที่สุดแห่ง
มรณะ ผู้มีอรรถรสอันไพเราะ ข้าพระองค์ขอแสดงโทษ
นั้น ข้าพระองค์ยินดีเป็นนิตย์ในรูป ระแวงว่าพระองค์
ไม่ทรงเกื้อกูล จึงมิได้มาเฝ้าพระองค์ผู้ทรงเกื้อกูลมาก
ผู้ทรงประทานธรรมอันประเสริฐ ข้าพเจ้าขอแสดง
โทษนั้น ครั้งนั้นพระองค์ผู้ทรงเป็นพุทธชินะทรงพระ-
มหากรุณาประกาศกังวานกระแสธรรมอันไพเราะ เมื่อ
ทรงเอาน้ำอมฤตรดข้าพเจ้าได้ตรัสว่า หยุดเถิดเขมา
ครั้งนั้นข้าพเจ้าประนมนมัสการด้วยเศียรเกล้าทำประ-
ทักษิณพระองค์แล้ว กลับไปเฝ้าพระนรบดีราชสวามี
แล้วกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงข่มข้าศึก น่า

อัศจรรย์ พระองค์ทรงดำริอุบายอันนี้ไว้ชอบแท้หนอ
หม่อมฉันผู้ปรารถนาจะชมพระเวฬุวัน ก็ได้ชมพระมุนี
ผู้ปราศจากกิเลสเหมือนป่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้า
ถ้าพระองค์จะทรงชอบพระราชหฤทัยไซร้ หม่อมฉัน
ผู้เบื่อหน่ายในรูปตามที่พระพุทธมุนีตรัสสอน จักบวช
ในศาสนาของพระพุทธเจ้า ผู้คงที่พระองค์นั้น.
ครั้งนั้น พระเจ้าพิมพิสารพระเจ้าแผ่นดินพระ-
องค์นั้นทรงประคองอัญชลีตรัสว่า ดูก่อนพระน้องนาง
พี่อนุญาตแก่พระน้องนาง บรรพชาจงสำเร็จแก่พระ-
น้องนางเถิด ครั้งนั้นข้าพเจ้าบวชมาแล้วได้ 7 เดือน
เห็นความเกิดและดับของประทีป มีใจสังเวชเบื่อหน่าย
ในสรรพสังขาร ฉลาดในปัจจยาการ ก้าวล่วง
จตุรโอฆะแล้วก็บรรลุพระอรหัตเป็นผู้ชำนาญในฤทธิ์
ในทิพโสตธาตุและเจโตปริยญาณ รู้ชัดปุพเพนิวาส-
ญาณ ชำระทิพยจักษุให้บริสุทธิ์ มีอาสวะทั้งปวง
หมดสิ้นแล้ว บัดนี้ภพใหม่ไม่มี ญาณอันบริสุทธิ์ของ
ข้าพเจ้าในอรรถะ ธรรมะ นิรุตติและปฏิภาณเกิดขึ้น
แล้วในพระพุทธศาสนาข้าพเจ้าเป็นผู้ฉลาดในวิสุทธิ
ทั้งหลาย แกล้วกล้าในกถาวัตถุ รู้จักนัยแห่งอภิธรรม
ถึงความชำนาญในศาสนา ภายหลังพระเจ้าปเสนทิ-
โกศลตรัสถามปัญหาละเอียดในโตรณวัตถุ ข้าพเจ้าก็
ถวายวิสัชนาตามความเป็นจริง ครั้งนั้นพระเจ้าปเสนทิ-

โกศลเสด็จเข้าเฝ้าพระสุคตแล้ว ทูลสอบถามปัญหา
เหล่านั้น พระพุทธเจ้าทรงพยากรณ์เหมือนอย่างที่
ข้าพเจ้าถวายวิสัชนาแด่พระองค์ พระชินพุทธเจ้า
ยอดนรชน ทรงพอพระทัยในคุณสมบัตินั้น จึงทรง
สถาปนาข้าพเจ้าไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะว่า เป็นเลิศ
ของภิกษุณีผู้มีปัญญามาก ข้าพเจ้าเผากิเลสทั้งหลาย
แล้ว ฯลฯ พระพุทธศาสนา ข้าพเจ้าได้ทำเสร็จแล้ว.

พระเถรีนี้บรรลุพระอรหัตแล้ว อยู่ด้วยผลสุข นิพพานสุข ก็ปรากฏ
ว่าเป็นผู้มีปัญญามาก เพราะเมื่อพระขีณาสวเถรีรูปอื่น ๆ เกิดปัญญาไพบูลย์
แต่ท่านก็บำเพ็ญบารมีมาแล้วในข้อนั้น จริงอย่างนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า
ประทับนั่งท่ามกลางหมู่พระอริยะ ณ พระเชตวันมหาวิหาร กำลังทรงสถาปนา
ภิกษุณีทั้งหลายไว้ในตำแหน่งตามลำดับ ก็ทรงสถาปนาพระเถรีนั้นไว้ใน
ตำแหน่งเอตทัคคะเพราะเป็นผู้มีปัญญามากกว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เขมา
เป็นเลิศของภิกษุณีสาวิกาของเรา ผู้มีปัญญามาก.
วันหนึ่ง พระเถรีนั้นนั่งพักกลางวันอยู่โคนไม้ต้นหนึ่ง มารผู้มีบาป
แปลงกายเป็นชายหนุ่มเข้าไปหา เมื่อประเล้าประโลมด้วยกามทั้งหลายก็กล่าว
คาถาว่า
แม่นางเขมาเอย เจ้าก็สาวสคราญ เราก็หนุ่มแน่น
มาสิ เรามาร่วมอภิรมย์กัน ด้วยดนตรีเครื่อง 5 นะ
แม่นาง.

คาถานั้นมีความว่า แม่นางเขมาเอย เจ้าก็เป็นสาว อยู่ในวัยรุ่น
รูปร่างก็สะสวย ถึงเราก็หนุ่มวัยรุ่น เพราะฉะนั้น เราทั้งสองอย่าให้ความ
หนุ่มสาวเสียไปเปล่า ดนตรีเครื่อง 5 มีอยู่ มาสิเรามาอภิรมย์เล่นกัน ด้วย
ความยินดีในการเล่นที่น่ารักเถิด.

นางเขมาเถรีนั้น ฟังคำนั้นแล้ว เมื่อประกาศความที่ตนหมดความ
กำหนัด ในกามทั้งปวง 1 ความที่ผู้นั้นเป็นมาร 1 ความไม่เลื่อมใสที่มี
กำลังของตนในเหล่าสัตว์ผู้ยึดมั่นในอัตตา 1 และความที่ตนทำกิจเสร็จแล้ว 1
จึงกล่าวคาถาเหล่านี้ว่า
เราอึดอัดเอือมระอาด้ายกายอันเปื่อยเน่า กระสับ-
กระส่าย มีอันจะแตกพังไปนี้อยู่ เราถอนกามตัณหา
ได้แล้ว กามทั้งหลายมีอุปมาด้วยหอกและหลาว มี
ขันธ์ทั้งหลายเป็นเขียงรองสับ บัดนี้ ความยินดีในกาม
ที่ท่านพูดถึงไม่มีแก่เราแล้ว เรากำจัดความเพลิดเพลิน
ในกามทั้งปวงแล้ว ทำลายกองแห่งความมืด [อวิชชา]
เสียแล้ว ดูก่อนมารใจบาป ท่านจงรู้อย่างนี้ ตัวท่าน
ถูกเรากำจัดแล้ว พวกคนเขลา ไม่รู้ตามความ
เป็นจริง พากันนอบน้อมดวงดาวทั้งหลาย บำเรอไฟอยู่
ในป่าคือลัทธิ สำคัญว่าเป็นความบริสุทธิ์ ส่วนเราแล
นอบน้อมเฉพาะพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เป็นอุดมบุรุษ
จึงพ้นแล้วจากทุกข์ทั้งปวง ชื่อว่าทำตามคำสั่งสอน
ของพระศาสดา.

บรรดาบทเหล่านั้น. บทว่า อคฺคึ ปริจรึ วเน ได้แก่ เที่ยวบูชา
ไฟอยู่ในป่าคือตบะ. บทว่า ยถาภุจฺจมชานนฺตา ได้แก่ ไม่รู้เรื่องราวตาม
เป็นจริง. คำที่เหลือในที่นี้ ง่ายทั้งนั้น เพราะมีนัยอันกล่าวมาแล้วในหนหลัง.
จบ อรรถกถาเขมาเถรีคาถา

4. สุชาตาเถรีคาถา


[454] พระสุชาตาเถรี กล่าวคาถาเป็นอุทานว่า
ข้าพเจ้า [ตอนเป็นคฤหัสถ์] แต่งตัวนุ่งห่มผ้า
อย่างดี สวมมาลัย ลูบไล้ด้วยจุรณจันทน์ ประดับ
ด้วยอาภรณ์ทุกอย่าง เดินนำหน้าหมู่นางทาสี ถือเอา
ข้าวน้ำของเคี้ยวของกินไม่น้อยออกจากเรือนพากันไป
ยังอุทยาน รื่นเริงละเลิงเล่นอยู่ในอุทยานนั้น แล้วกำลัง
เดินจะกลับเรือนตน ก็เข้าไปชมอัญชนวันวิหาร ใน
นครสาเกต ได้พบพระพุทธเจ้า ผู้เป็นแสงสว่างของ
โลก ถวายบังคมแล้ว เข้าไปเฝ้า.
พระผู้มีพระจักษุพระองค์นั้น ทรงแสดงธรรม
โปรดข้าพเจ้า ด้วยพระกรุณาอนุเคราะห์ และข้าพเจ้า
ได้ฟังพระธรรมเทศนาของพระองค์ ผู้ทรงแสวงคุณ
อันยิ่งใหญ่แล้ว ก็ได้ตรัสรู้สัจจะของจริง ได้สัมผัส
ธรรมคืออมตบทอันปราศจากกิเลสดุจธุลี ในที่นั้นนั่น
เอง.
ข้าพเจ้ารู้แจ้งพระสัทธรรมแล้ว ก็บวชไม่มีเรือน
ได้บรรลุวิชชา 3 แล้ว คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ไม่
เปล่าปราศจากประโยชน์เลย.

จบ สุชาตาเถรีคาถา